เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเห็ดใดมีพิษและสามารถรับประทานได้หรือไม่
วิธีสังเกตลักษณะของเห็ดที่มีพิษ
ตารางเปรียบเทียบลักษณะเห็ดพิษและเห็ดรับประทานได้
เห็ดพิษ
|
เห็ดรับประทานได้
|
1. ส่วนใหญ่เจริญงอกงามในป่า
|
1. ส่วนใหญ่เจริญในทุ่งหญ้า
|
2. ก้านสูง
ลำต้นโป่งพองออก โดยเฉพาะที่ฐาน กับที่วงแหวนเห็นชัดเจน
|
2. ก้านสั้น
อ้วนป้อมและไม่โป่งพองออก ผิวเรียบไม่ขรุขระ ไม่มีสะเก็ด
|
3. สีผิวของหมวกมีได้หลายสี
เช่น สีมะนาว ถึงสีส้ม สีขาวถึงสีเหลือง
|
3. สีผิวของหมวกส่วนใหญเป็นสีขาวถึงสีน้ำตาล
|
4. ผิวของหมวกเห็ดส่วนมากมีเยื่อหุ้มดอกเห็ดเหลืออยู่ในลักษณะที่ดึงออกได้
หรือเป็นสะเก็ดติดอยู่
|
4. ผิวของหมวกเห็ดเรียบจนถึงเป็นเส้นใยและ
เหมือนถูกกดจนเป็นแผ่นบาง ๆ ดึงออกยาก
|
5. ครีบแยกออกจากกันชัดเจน
มักมีสีขาว บางชนิดสีแดงหรือสีเขียวอมเหลือง
|
5. ครีบแยกออกจากกัน
ในระยะแรกเป็นสีชมพู แล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
|
6. สปอร์ใหญ่มีสีขาวหรือสีอ่อน
มีลักษณะใส ๆ รูปไข่กว้าง
|
6. สปอร์สีน้ำตาลอมม่วงแก่รูปกระสวยกว้าง
|
3. การนำมาทดสอบพิษด้วยการต้มรวมกับข้าวสาร
ช้อนเงิน หรือหัวหอม เป็นวิธีที่ถูกต้องหรือไม่
ไม่ถูกต้องนัก เนื่องจากวิธีดังกล่าวไม่สามารถทดสอบกับเห็ดบางชนิด เช่น
เห็ดพิษสกุล Amanita
4. การนำเห็ดไปต้มให้สุกก่อนรับประทาน
จะมีความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์หรือไม่
ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะว่าเห็ดบางชนิด เช่นเห็ดระโงกหิน
หรือเห็ดไข่ตายซาก (ฮาก) (Amanita verna และ Amanita
virosa ) ซึ่งมีสารพิษในกลุ่ม cyclopeptide จะทนความร้อนได้ดี การนำเห็ดไปต้มก็ไม่สามารถทำให้สารพิษนี้สลายไปได้
5. อาการของพิษที่เกิดจากการรับประทานเห็ด/ควรปฐมพยาบาลเบิ้องต้นอย่างไร
อาการของพิษที่เกิดจากการรับประทานเห็ดพิษแต่ละกลุ่ม ได้แก่
5.1
กลุ่มที่สร้างสารพิษ cyclopeptide มีพิษต่อตับ
เช่น เห็ดไข่ตายซากหรือเห็ดระโงกหิน(Amanita verna และ Amanita virosa ) เมื่อรับประทานเข้าไปจะมีอาการเป็น
3 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 เป็นระยะฟักตัวประมาณ 6-24
ชั่วโมง ปกติประมาณ 10 ชั่วโมง
หลังจากรับประทานเห็ดเข้าไปถึงขั้นแสดงอาการ
ระยะที่ 2 จะมีอาการเป็นตะคริวที่ท้อง
คลื่นเหียนอาเจียน ท้องร่วง เอนไซม์ตับสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยจะแสดงอาการ 2-3
วัน
ระยะที่ 3 มีอาการตับอักเสบ ไตวาย
หัวใจวาย เลือดเป็นลิ่มแพร่กระจาย ชัก และเสียชีวิต ภายใน 6 –16 วัน ปกติประาณ 8
วัน หลังจากการรับประทานเห็ดพิษชนิดนี้เข้าไป
5.2
กลุ่มที่สร้างสารพิษ Monomethylhydrazine (Gyromitrin) ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง เห็ดที่มีสารพิษนี้เช่น เห็ดสมองวัว (Gyromitra
esculanta )
อาการของสารพิษชนิดนี้จะปรากฏใน 6-8 ชั่วโมง
หลังจากรับประทานเห็ด บางชนิดอาจเร็วมากเพียง 2 ชั่วโมง
และบางชนิดอาจนานถึง 12 ชั่วโมง จะมีอาการต่าง ๆ คือ มึมงง
ปวดศรีษะ คลื่นใส้ อาเจียน ท้องเสียและเป็นตะคริวที่กล้ามเนื้อ เจ็บที่ท้อง
ในรายที่รุนแรง จะพบการทำลายตับ มีไข้สูง ชัก ไม่รู้สึกตัว และถึงตายได้ภายใน 2-4
วัน หลังรับประทานเห็ดกลุ่มนี้
5.3
กลุ่มที่สร้างสารพิษ Coprine
เห็ดที่มีสารพิษนี้เช่น เห็ดหิ่งห้อย เห็ดน้ำหมึกหรือเห็ดถั่ว (Coprinus
atramentrarius) อาการของสารพิษชนิดนี้จะแสดงอาการภายใน 5-10
นาที อาจจะถึง 30 นาทีหลังจากรับประทานเห็ดเข้าไป
ถ้ามีการดื่ม alcohol เข้าไปในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง ก่อนรับประทานเห็ด คุณสมบัติทางเคมีคล้ายคลึงกับ Antavare
ซึ่งรักษาคนไข้ติด alcohol ผู้ป่วยจะมีอาการหน้าแดง
ตัวแดง ใจสั่น หายใจหอบ เหงื่อแตก เจ็บหน้าอก ชาตามตัว คลื่นเหียนอาเจียน
ม่านตาขยาย และความดันโลหิดสูง อาจพบความดันโลหิตต่ำเนื่องจากหลอดเลือดขยายตัว
แต่จะหายเป็นปกติภายในเวลา 3-4 ชั่วโมง
5.4
กลุ่มที่สร้างสารพิษ Muscarine
เห็ดที่มีสารพิษชนิดนี้เช่น Inocybe napipes, หลังจากรับประทานเห็ดที่มีสารพิษชนิดนี้ประมาณ
30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง
จะมีอาการหัวใจเต้นช้า หลอดลมหดเกร็ง เสมหะมาก ม่านตาหดเล็ก น้ำลายฟูมปาก
น้ำตาไหล ปัสสาวะอุจจาระราด และอาเจียน
5.5
กลุ่มที่สร้างสารพิษ Ibotenic acid-muscimol
เห็ดที่มีสารพิษชนิดนี้เช่น เห็ดเกล็ดดาว ( Amanita pantherina
), A. muscaria หลังจากรับประทานเห็ดที่มีสารพิษชนิดนี้
จะเกิดอาการเมา เดินโซเซ เคลิ้มฝ้น ร่าเริง กระปรี้กระเปร่า
การรับรู้ภาพเปลี่ยนแปลง ประสาทหลอนและเอะอะโวยวาย ภายหลังจากเอะอะแล้วผู้ป่วยจะหลับนาน
เมื่อตื่นขึ้นมาอาการจะกลับคืนสู่สภาพปกติใน 1-2 วัน
ถ้ารับประทานเห็ดชนิดนี้มาก ๆ จะเกิดอาการทางจิตอย่างชัดเจน อาจชักและหมดสติได้
5.6
กลุ่มที่สร้างสารพิษ Psilocybin
เห็ดที่มีสารพิษชนิดนี้เช่น เห็ดขี้ควาย เห็ดขี้วัว บางแห่งเรียกเห็ดโอสถลวงจิต(Psilocybe
cubensis) หลังจากรับประทานเห็ดที่มีสารพิษชนิดนี้ ประมาณ 30
นาที ถึง 1 ชั่วโมง
ผู้ป่วยจะเริ่มรู้สึกเคลิบเคลิ้ม ตามด้วยการรับรู้ที่ผิดไปจากความเป็นจริง
และประสาทหลอน มีอาการเดินโซเซ ม่านตาขยาย หัวใจเต็นเร็ว หายใจถี่
ความดันโลหิดสูง ระดับน้ำตาลในเลือดลด
มีอาการแสดงของระบบประสาทส่วนกลางถูกกระตุ้น มีความเคลื่อนไหวมากผิดปกติ
จนกระทั่งถึงชักได้
5.7
สารพิษกลุ่ม Gastrointestinal Irritants เป็นเห็ดพิษที่ทำให้เกิดอาการเฉพาะระบบทางเดินอาหารภายใน
30 นาที ถึง 3 ชั่วโมง
มีอาการจุกเสียดยอดอก อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย
และไม่ทำให้มีอาการทางระบบอื่น ๆ
เห็ดที่มีสารพิษชนิดนี้เช่นเห็ดหัวกรวดครีบเขียว ( Chlorophyllum
molybdites ), เห็ดแดงน้ำหมาก ( Russula emetica )
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
การปฐมพยาบาลมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากผู้ป่วยรับประทานเห็ดพิษและเกิดอาการพิษขึ้น
ควรจะรู้จักวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องกับผู้ป่วย
แต่ตามชนบทมักจะแสดงอาการหลังรับประทานแล้วหลายชั่วโมง ซึ่งพิษมักจะกระจายไปมาก
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรู้จักวิธีปฐมพยาบาล แล้วรีบนำส่งแพทย์
เพื่อทำการรักษาโดยรีบด่วนต่อไป
การปฐมพยาบาลนั้น ที่สำคัญที่สุดคือ
ทำให้ผู้ป่วยอาเจียนเอาเศษอาหารที่ตกค้างออกมาให้มาก
และทำการช่วยดูดพิษจากผู้ป่วยโดยวิธีใช้น้ำอุ่นผสมผงถ่าน activated
charcoal แล้วดื่ม 2 แก้ว
โดยแก้วแรกให้ล้วงคอให้อาเจียนออกมาเสียก่อนแล้วจึงดื่มแก้วที่ 2 แล้วล้วงคอให้อาเจียนออกมาอีกครั้ง
จึงนำส่งแพทย์พร้อมกับตัวอย่างเห็ดพิษหากยังเหลืออยู่
หากผู้ป่วยอาเจียนออกยากให้ใช้เกลือแกง 3 ช้อนชาผสมน้ำอุ่นดื่ม
จะทำให้อาเจียนได้ง่ายขึ้น แต่วิธีนี้ห้ามใช้กับเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ
อนึ่งห้ามล้างท้องด้วยการสวนทวารหนักโดยพละการ วิธีนี้ต้องให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยเท่านั้น
เพราะวิธีนี้เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยหากร่างกายขาดน้ำ
หลังจากปฐมพยาบาลผู้ป่วยแล้วให้รีบนำส่วนแพทย์โดยด่วน
พร้อมกับตัวอย่างเห็ดพิษ (หากยังเหลืออยู่)
หรืออาจจะทำการปฐมพยาบาลผู้ป่วยในระหว่างนำส่งแพทย์ด้วยกันก็ได้
6. คำแนะนำในการเลือกชื้อและนำเห็ดมาประกอบอาหาร
ควรทำอย่างไร
การเลือกชื้อ ให้ดูจากข้อ 1และ 2 และอย่ารับประทานเห็ดที่สงสัย ไม่รู้จัก และไม่แน่ใจ
ควรรับประทานเฉพาะเห็ดที่แน่ใจ และเพาะได้ทั่วไป
การนำเห็ดมาประกอบอาหารควรปฏิบัติดังนี้
1.
การรับประทานอาหารที่ประกอบขึ้นด้วยเห็ด
ควรจะรับประทานแต่พอควร อย่ารับประทานจนอิ่มมากเกินไป
เพราะเห็ดเป็นอาหารที่ย่อยยาก
อาจจะทำให้ผู้มีระบบย่อยอาหารที่อ่อนแอเกิดอาการอาหารเป็นพิษได้
2.
ควรระมัดระวัง
คัดเห็ดที่เน่าเสียออกเพราะเห็ดที่เน่าเสียจะทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษได้
3.
อย่ารับประทานอาหารที่ปรุงขึ้นสุก
ๆ ดิบ หรือเห็ดดิบดอง เพราะเห็ดบางชนิดยังจะมีพิษอย่างอ่อนเหลืออยู่
ผู้รับประทานจะไม่รู้สึกตัวว่ามีพิษ จนเมื่อรับประทานหลายครั้งก็สะสมพิษมากขึ้น
และเป็นพิษร้ายแรงถึงกับเสียชีวิตได้ในภายหลัง
4.
ผู้ที่รู้ตัวเองว่าเป็นโรคภูมิแพ้เกี่ยวกับเห็ดบางชนิด
หรือกับเห็ดทั้งหมด ซึ่งถ้ารับประทานเห็ดเข้าไปแล้ว จะทำให้เกิดอาการเบื่อเมา
หรืออาหารเป็นพิษ จึงควรระมัดระวัง รับประทานเฉพาะเห็ดที่รับประทานได้โดยไม่แพ้
หรือหลีกเลี่ยงจากการรับประทานเห็ด
5.
ระมัดระวังอย่ารับประทานเห็ดพร้อมกับดื่มสุรา
เพราะเห็ดบางชนิดจะเกิดพิษทันที ถ้าหากดื่มสุราหลังจากรับประทานเห็ดแล้วภายใน 48 ชั่วโมง เช่น เห็ดหิ่งห้อย
เห็ดน้ำหมึกหรือเห็ดถั่ว (Coprinus atramentarius ) แม้แต่เห็ดพิษอื่นทั่วไป หากดื่มสุราเข้าไปด้วย
ก็จะเป็นการช่วยให้พิษกระจายได้รวดเร็วและรุนแรงขึ้นอีก
ขอบคุณข้อมูล ศูนย์ข้อมูลพิษวิทยา, MThai
|
Post A Comment:
0 comments: